นวัตกรรมฝีมือคนไทย กำลังเสริมภารกิจสู้ภัยโควิด-19

ท่ามกลางวิกฤตการณ์โรคระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก และยากที่จะคาดเดาว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด นวัตกรรมและเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการบรรเทาผลกระทบของสถานการณ์ ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิตประจำวันของผู้คน แต่ยังรวมถึงบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          การคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์นั้น นับว่ามีความจำเป็นอย่างมากในการป้องกันและลดความเสี่ยงให้กับบุคลากรด่านหน้า ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวชภัณฑ์และอุปกรณ์สนับสนุน เป็นที่ต้องการของนานาประเทศ ทำให้เกิดความขาดแคลนส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

          นี่จึงเป็นที่มาของการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมด้วยฝีมือของคนไทยเอง เพื่อที่จะเป็นกำลังเสริมในการต่อสู้ กับสถานการณ์โรคระบาด บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จำกัด หรือเออาร์วี ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้ระดมความคิดและความเชี่ยวชาญร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาและผลิตนวัตกรรม หุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เพื่อสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในหลากหลายรูปแบบ ในการเพิ่มความ ปลอดภัยให้กับการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ เริ่มตั้งแต่ เตียงและรถเข็้นเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบ แบบ ทรีอินวัน ที่ร่วมพัฒนากับ ปตท.สผ. ให้สามารถทำงานได้ถึง 3 หน้าที่ในเครื่องเดียว คือ สร้างแรงดันลบกรองอนุภาค และฆ่าเชื้อโรคหลักการทำงาน คือ จะมีกล่องเครื่องกำเนิดแรงดันลบ ซึ่งปรับความดันอากาศที่ดูดเข้าไปภายในเตียงหรือรถเข็นซึ่งติดตั้งแคปซูล เพื่อทำให้ความดันอากาศภายในต่ำกว่าอากาศภายนอก อากาศจึงไม่ไหลออกสู่ภายนอก จึงช่วยไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายออกไป ตัวเครื่องติดตั้งแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) ที่สามารถ กรองอนุภาค ระดับ 0.3 ไมโครเมตร หรือเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ 100 เท่า ได้ถึง 99.99% พร้อมด้วยหลอดไฟ UV-C ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค จึงทำให้ เมื่อปล่อยอากาศกลับสู่ภายนอกจะมีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงเมื่อต้องทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อ

          หลักการเดียวกัน ยังได้พัฒนาเครื่องกำเนิดแรงดันลบแบบเคลื่อนที่ขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำไปติดตั้งร่วมกับกล่องทำหัตถการ จะช่วยให้การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยติดเชื้อเป็นไปอย่างสะดวก และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เครื่องกำเนิดแรงดันลบนี้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และยังสามารถใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าและโซลาร์เซลล์ ซึ่งเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ห่างไกลอีกด้วย โดย ปตท.สผ.ได้มอบเตียงและกล่องทำหัตถการแรงดันลบ ให้กับคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล เพื่อนำไปส่งต่อให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วทุกภาค รวมทั้ง ได้มอบเตียงและรถเข็นเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแรงดันลบแก่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วย

          อีกหนึ่งนวัตกรรมสำคัญ คือ “ชุดอุปกรณ์พร้อมระบบตรวจวัดอุณหภูมิ และควบคุมห่วงโซ่ความเย็น” (loT Cold Chain) ซึ่งช่วยในการเก็บรักษาวัคซีนโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพโดยได้ประยุกต์เทคโนโลยีการสำรวจปิโตรเลียม ที่เรียกว่าการเก็บข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนแบบไร้สาย (Wireless seismic survey) ซึ่งใช้ในการศึกษาลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาของชั้นหิน โดยเปลี่ยนเซ็นเซอร์ที่ใช้วัดคลื่นสะท้อนมาเป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาวัคซีน ตัวอุปกรณ์มีขนาดเล็ก สำหรับนำไปติดที่ตู้เย็นซึ่งใช้เก็บรักษาวัคซีน โดยระบบจะทำการตรวจวัดอุณหภูมิว่าอยู่ในช่วงที่ต้องการหรือไม่ และส่งข้อมูลมายังจอมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น ก็จะส่งสัญญาณเตือนไปที่ผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขได้ทันเวลา รวมถึงจะแสดงผลไปยังส่วนกลาง ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์ทุกชิ้นในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ จึงนับว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการเก็บรักษาวัคซีนที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษ เช่นในกรณี ของโควิด ซึ่งอุปกรณ์ชุดนี้ เออาร์วี ได้พัฒนาและนำส่งต่อกระทรวงสาธารณสุข

          “คาร่า” (CARA) หุ่นยนต์ผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ในการนำส่งเวชภัณฑ์และอาหารภายในโรงพยาบาลสถานพยาบาล และสถานที่กักตัวผู้ป่วย ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยสามารถควบคุมบังคับจากระยะไกลกว่า 100 เมตร จึงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากผู้ป่วย รวมทั้ง เป็นช่องทางการสื่อสารในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากระยะไกลผ่านแท็บเล็ตที่ติดตั้งไว้ ตอนนี้ คาร่ากำลังทำหน้าที่ลำเลียงยา อาหาร และอื่นๆ อยู่ที่โรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) ของกลุ่ม ปตท.

          มาถึงหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี ที่ชื่อว่า เอ็กซ์เตอร์ไลเซอร์ (Xterlizer) ซึ่งเออาร์วีพัฒนาขึ้นเพื่อกำจัด เชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อรา ด้วยแสง อัลตราไวโอเลตซี (UV-C) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ในพื้นที่ขนาด 25 ตร.ม. ภายในเวลาเพียง 5 นาที รวดเร็ว สะดวกต่อการใช้งาน สามารถเคลื่อนที่และปฏิบัติงานแบบไร้สายได้โดยอัตโนมัติ หลบหลีกสิ่งกีดขวางได้เอง นอกจากนี้ ยังมีเซ็นเซอร์อินฟราเรดจับความเคลื่อนไหว ซึ่งจะหยุดปล่อยแสง UV-C ทันทีหากพบการเคลื่อนไหวทำให้การใช้งานมีความปลอดภัยมากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นผลผลิตนวัตกรรมของบริษัทไทย ที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์วิกฤต และได้นำไปใช้งานในโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลต่างๆ แล้วอย่างมีประสิทธิภาพในฐานะกำลังเสริมที่สำคัญเพื่อต่อสู้กับวิกฤตการณ์ของโลกครั้งนี้

Share your love